ขาย Marantz SR-4400 พร้อมใช้คับ ราคา 9800โทร085-1210194

หน้าแรก » เครื่องใช้ไฟฟ้า » เครื่องเสียง

ขาย Marantz SR-4400 พร้อมใช้คับ ราคา 9800โทร085-1210194


            Marantz ถือได้ว่าเป็นเอ/วี รีซีฟเวอร์ที่มีความเป็นกลางสูงมาก ดูหนังดี ฟังเพลงสบาย ไม่มีความหยาบกร้าน หรือแข็งแห้งเจือปนเลยสำหรับยี่ห้อนี้ ใครที่หมายปองเครื่องที่ใช้งานได้ทั้ง 2 ด้าน ควรพิจารณาเป็นพิเศษครับ หลังจากรุ่นที่ลงท้ายด้วยเลข 200 ได้เข้ามาทำตลาดหลายปีก่อน คือ SR-4200, SR-5200, SR-6200, SR-7200 และ SR-9200 ผมได้ทดสอบไปแล้วบางรุ่น ต่อมามีการปรับเปลี่ยนในบางจุด แล้วใช้เลขลงท้ายด้วยรุ่น 300 คือ SR-4300, SR-5300, SR-6300, SR-7300 ผมเองเคยลองรุ่น SR-6300 ไปแล้ว แต่ไม่ได้ตีพิมพ์ ซึ่งประทับใจให้ผมมาก ตอกย้ำคุณภาพเสียงของยี่ห้อ Marantz ได้เป็นอย่างดี ล่าสุดปรับเปลี่ยนอีกรอบ คราวนี้ลงท้ายด้วยเลข 400 เสมือนว่าเป็นรุ่นปี 2004 ประมาณนั้น บ้านเราตอนนี้จะเป็นรุ่น SR-4400, SR-5400, SR-6400, SR-7400 แต่ละรุ่นก็จะมีหน้าตา, คุณสมบัติพิเศษอื่น ๆ ที่ต่างกันออกไปบ้าง และที่หลายท่านน่าจะถูกใจ คือ ราคาถูกลงกว่าเดิมแต่มีลูกเล่นมากกว่าเดิมอีกด้วย ส่วนจุดเด่นที่ไม่เหมือนใคร คือ SR-6400 และ SR-7400 สามารถอัพเกรดได้ด้วยช่องต่อ RS-232 ซึ่งคงต้องสอบถามตัวแทนจำหน่ายในรายละเอียดจุดนี้ สำหรับรุ่นที่ได้รับมาในครั้งนี้คือ SR-4400 น้องนุชสุดท้อง ที่กำลังขับอาจไม่สูงนัก แต่ก็เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป เหมาะกับผู้เริ่มต้น ด้วยมีค่าตัวเพียง หมื่นครึ่งเท่านั้น!! มาดูกันครับว่าเมื่อมีราคาถูกจะเหลือคุณภาพให้สัมผัสมากน้อยเพียงใด คุณสมบัติพิเศษ ให้กำลังขับแยกอิสระ Discrete 80 วัตต์ x 6 แชนแนล ถอดรหัส Dolby Digital EX, Dolby Pro-logic II และ dts-ES (Discrete, Matrix, Neo) ภาคถอดรหัส 24 Bit /96 Khz ทุกแชนแนล มีปุ่ม Source Direct เพื่อความบริสุทธิ์ของเสียง ดับไฟหน้าปัดได้ สายไฟเอซีถอดได้ IEC รองรับ 6 Channel Input-Output ครบครัน น๊อตชุบทองแดง ช่วยลดคลื่นรบกวน เน้นการใช้งานที่ง่ายไว้ก่อน ตั้งสถานีในหน่วยความจำได้ 30 สถานี หน้าตาของ Marantz SR-4400 นั้นแทบจะเหมือนรุ่นเดิมไม่ผิดเพี้ยน จะต่างกันก็ตรงหน้าที่ของปุ่มบางปุ่ม เป็นต้น ตัวเครื่องสีทองแชมเปญ แผงหน้าปัดเมื่อหันหน้าเข้าหาตัวเครื่อง มุมซ้ายบนจะเป็นป้ายชื่อยี่ห้อ Marantz พร้อมชื่อรุ่น SR-4400 ถัดลงด้านล่างเป็นปุ่มหมุนทรงกลมขนาดใหญ่ทำหน้าที่ เลือกเวียนระบบเสียงในโหมดเซอร์ราวด์ (Auto, stereo, Dolby Pro logic II (Movie / Music), Dolby Pro logic, NEO:6 (Cinema / Music), M-CH Stereo, CS II (Cinema / music / mono), Virtual, Movie, Hall, Stadium, Matrix) ล่างสุดจะเป็นปุ่มเปิด / ปิด / รอพร้อมใช้ (Stand-by) มีไฟสีแดงโชว์ด้วย เยื้องไปทางขวาเป็นรูเสียบหูฟัง (เมื่อเสียบจะไม่มีเสียงออกลำโพงอัตโนมัติ) ตรงกลางเป็นหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ทั้งใหญ่พอประมาณ ตัวอักษรในจอใช้สีขาวอ่อนเย็นตา เป็นแบบจุดไข่ปลา แต่ถ้าเป็นเครื่องหมายระบบเสียงและอื่น ๆ จะเป็นขีดเป็นข้อความไปเลย บอกผลการทำงานครบครัน ทั้งระบบเสียงที่ใช้, ลำโพงคู่ที่ใช้งาน, โหมด DSP, ช่องแหล่งโปรแกรมที่ใช้ เป็นต้น ใต้จอจะเป็นปุ่มสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็ก 6 ปุ่ม วางแนวนอน เกี่ยวกับการเล่นวิทยุ ด้านล่างถัดลงไปเป็นปุ่มกลม 5 ปุ่ม ทำหน้าที่ A/D เลือกรับสัญญาณเข้าแบบอนาลอกหรือดิจิตอล, HT EQ เลือกลดความกระด้างเวลาดูหนังเลือก (On / Off), S-direct ต่อตรงไม่ผ่านวงจรใด ๆ (ตัดภาคTone Control และ Bass Management ออก), Display สามารถหรี่ และดับไฟหน้าปัดได้ เพิ่มมิติเสียงที่ดี (ไฟเข้ม-ไฟอ่อน-ไฟดับ) และปุ่ม Mute ตัดเสียงไม่ให้ออกลำโพง (On / Off) ล่างสุดเป็นปุ่มกดสี่เหลี่ยม 9 ปุ่ม เลือกแหล่งโปรแกรมต่าง ๆ เช่น 6.1 CH-In, TV, DVD, VCR1, DSS/VCR2, CD-R/MD, Tape, CD และ Tuner มุมขวาของจอแสดงผลจะเป็นปุ่มหมุนขนาดเดียวกับด้านซ้ายที่เลือกระบบเสียง แต่ด้านขวานี้คือ ปุ่มเร่ง-ลดระดับเสียง (ตั้งแต่ -71 ถึง +13) ด้านล่างจะเป็นโลโก้ของระบบเสียง Circle Surround II, Dolby Pro logic II และ dts-ES แผงหน้าปัดนั้น เป็นแถบสี่เหลี่ยมเรียบทั้งแผ่นเลย ไม่ได้แบ่งเป็น 2 หรือ 3 ส่วน แต่ก็ไม่ดูเทอะทะประการใด ด้านหลังไล่จากซ้ายไปขวามือ เริ่มต้นเป็นช่องเสียบเสาอากาศภาควิทยุ ด้านล่างสุดเป็นช่องรับสัญญาณดิจิตอลแบบ Optical 3 ช่อง แบ่งเป็นขาออก 1 ช่อง และขาเข้า 2 ช่อง (ช่อง 1,2) และแบบ Coaxial 3 ช่อง แบ่งเป็นขาออก 1 ช่อง และขาเข้า 2 ช่อง (ช่อง 3,4) ถือว่าเหลือเฟือเลย ใกล้ ๆ กันเป็นช่อง Remote In / Out 1 ชุด ต่อมาด้านบนเป็นช่องรับสัญญาณภาพแบบ Composite (TV, DVD, VCR1, DSS/VCR2, Monitor Out) ด้านล่างเป็นช่องรับสัญญาณเสียง (TV, DVD, VCR1, DSS/VCR2, CD-R/MD, Tape, CD) บางช่องมีจ่ายสัญญาณออกด้วย ถัดมาทางขวาจะเป็นช่องรับสัญญาณภาพเข้าแบบ S-Video จำนวน 2 ช่อง DVD, VCR1 และจ่ายออก 2 ช่อง คือ VCR1 และ Monitor Out ด้านล่างของช่องต่อ S-Video จะมีช่องรับสัญญาณเข้าแบบอาร์ซีเอ 7 อันสำหรับต่อช่อง 6.1 CH Input ถัดไปเป็นภาคปรีเอ้าท์ ทั้ง 7 แชนแนล (คู่หน้าซ้าย-ขวา, คู่หลังซ้าย-ขวา, เซ็นเตอร์, ซับวูฟเฟอร์ และเซอร์ราวเซ็นเตอร์) เพื่อเพิ่มเพาเวอร์แอมป์ภายนอกในยามที่ต้องการกำลังขับสูงกว่า ซึ่งจัดเป็นบริเวณเดียวกันถือว่าสะดวกมาก ถัดไป Inlet หรือช่องเสียบสายไฟเอซีที่สามารถถอดได้แบบ IEC แต่มี 2 ขา สามารถอัพเกรดคุณภาพเสียงด้วยสายไฟเอซีคุณภาพดีได้ทันที ไม่ต้องโมดิฟายใด ๆ ขณะที่รุ่นสูงอย่าง SR-5400 / 6400 ยังเป็นแบบติดตาย ถอดไม่ได้ด้วย ขั้วต่อลำโพงจะอยู่ด้านล่างสุดตรงกึ่งกลาง เป็นแบบบิดขัน จัดวางแบบเรียงแนวนอน (โดยส่วนตัว ผมเองชอบแบบแนวตั้งมากกว่า) รองรับเฉพาะขั้วต่อบานาน่าปลั๊กกับสายเปลือยเท่านั้น มีภาคขยายสำหรับแชนแนลที่ 6 มาพร้อมสรรพ การต่อต้องดูให้ดีก่อนครับ ด้านบนมีช่องระบายความร้อนอยู่เต็มพื้นที่ รวมทั้งด้านข้างทั้ง 2 ด้านด้วย แต่ตลอดเวลาที่ใช้ทั้งเปิดแอร์ และไม่เปิดแอร์ ผมลองเอามือไปแตะดูก็ไม่พบว่าจะร้อนมากแต่อย่างใดแค่อุ่น ๆ เท่านั้น ในคู่มือแนะนำว่าควรมีพื้นที่รอบ ๆ ด้าน ประมาณ 8 นิ้ว เป็นอย่างน้อย ขายางชุบทองด้วยเช่นกัน น๊อตยึดจุดต่าง ๆ ของตัวเครื่องเคลือบทองแดง เช่นเดียวกับฐานเครื่อง นัยว่าเพื่อลดการรบกวนได้ดีกว่า รีโมทคอนโทรลทรงยาว และแบน ขนาดกระชับมือ สีดำ ปุ่มกดขนาดกำลังดี ใช้งานง่ายมาก ไม่สับสน   Marantz ถือได้ว่าเป็นเอ/วี รีซีฟเวอร์ที่มีความเป็นกลางสูงมาก ดูหนังดี ฟังเพลงสบาย ไม่มีความหยาบกร้าน หรือแข็งแห้งเจือปนเลยสำหรับยี่ห้อนี้ ใครที่หมายปองเครื่องที่ใช้งานได้ทั้ง 2 ด้าน ควรพิจารณาเป็นพิเศษครับ หลังจากรุ่นที่ลงท้ายด้วยเลข 200 ได้เข้ามาทำตลาดหลายปีก่อน คือ SR-4200, SR-5200, SR-6200, SR-7200 และ SR-9200 ผมได้ทดสอบไปแล้วบางรุ่น ต่อมามีการปรับเปลี่ยนในบางจุด แล้วใช้เลขลงท้ายด้วยรุ่น 300 คือ SR-4300, SR-5300, SR-6300, SR-7300 ผมเองเคยลองรุ่น SR-6300 ไปแล้ว แต่ไม่ได้ตีพิมพ์ ซึ่งประทับใจให้ผมมาก ตอกย้ำคุณภาพเสียงของยี่ห้อ Marantz ได้เป็นอย่างดี ล่าสุดปรับเปลี่ยนอีกรอบ คราวนี้ลงท้ายด้วยเลข 400 เสมือนว่าเป็นรุ่นปี 2004 ประมาณนั้น บ้านเราตอนนี้จะเป็นรุ่น SR-4400, SR-5400, SR-6400, SR-7400 แต่ละรุ่นก็จะมีหน้าตา, คุณสมบัติพิเศษอื่น ๆ ที่ต่างกันออกไปบ้าง และที่หลายท่านน่าจะถูกใจ คือ ราคาถูกลงกว่าเดิมแต่มีลูกเล่นมากกว่าเดิมอีกด้วย ส่วนจุดเด่นที่ไม่เหมือนใคร คือ SR-6400 และ SR-7400 สามารถอัพเกรดได้ด้วยช่องต่อ RS-232 ซึ่งคงต้องสอบถามตัวแทนจำหน่ายในรายละเอียดจุดนี้ สำหรับรุ่นที่ได้รับมาในครั้งนี้คือ SR-4400 น้องนุชสุดท้อง ที่กำลังขับอาจไม่สูงนัก แต่ก็เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป เหมาะกับผู้เริ่มต้น ด้วยมีค่าตัวเพียง หมื่นครึ่งเท่านั้น!! มาดูกันครับว่าเมื่อมีราคาถูกจะเหลือคุณภาพให้สัมผัสมากน้อยเพียงใด คุณสมบัติพิเศษ ให้กำลังขับแยกอิสระ Discrete 80 วัตต์ x 6 แชนแนล ถอดรหัส Dolby Digital EX, Dolby Pro-logic II และ dts-ES (Discrete, Matrix, Neo) ภาคถอดรหัส 24 Bit /96 Khz ทุกแชนแนล มีปุ่ม Source Direct เพื่อความบริสุทธิ์ของเสียง ดับไฟหน้าปัดได้ สายไฟเอซีถอดได้ IEC รองรับ 6 Channel Input-Output ครบครัน น๊อตชุบทองแดง ช่วยลดคลื่นรบกวน เน้นการใช้งานที่ง่ายไว้ก่อน ตั้งสถานีในหน่วยความจำได้ 30 สถานี หน้าตาของ Marantz SR-4400 นั้นแทบจะเหมือนรุ่นเดิมไม่ผิดเพี้ยน จะต่างกันก็ตรงหน้าที่ของปุ่มบางปุ่ม เป็นต้น ตัวเครื่องสีทองแชมเปญ แผงหน้าปัดเมื่อหันหน้าเข้าหาตัวเครื่อง มุมซ้ายบนจะเป็นป้ายชื่อยี่ห้อ Marantz พร้อมชื่อรุ่น SR-4400 ถัดลงด้านล่างเป็นปุ่มหมุนทรงกลมขนาดใหญ่ทำหน้าที่ เลือกเวียนระบบเสียงในโหมดเซอร์ราวด์ (Auto, stereo, Dolby Pro logic II (Movie / Music), Dolby Pro logic, NEO:6 (Cinema / Music), M-CH Stereo, CS II (Cinema / music / mono), Virtual, Movie, Hall, Stadium, Matrix) ล่างสุดจะเป็นปุ่มเปิด / ปิด / รอพร้อมใช้ (Stand-by) มีไฟสีแดงโชว์ด้วย เยื้องไปทางขวาเป็นรูเสียบหูฟัง (เมื่อเสียบจะไม่มีเสียงออกลำโพงอัตโนมัติ) ตรงกลางเป็นหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ทั้งใหญ่พอประมาณ ตัวอักษรในจอใช้สีขาวอ่อนเย็นตา เป็นแบบจุดไข่ปลา แต่ถ้าเป็นเครื่องหมายระบบเสียงและอื่น ๆ จะเป็นขีดเป็นข้อความไปเลย บอกผลการทำงานครบครัน ทั้งระบบเสียงที่ใช้, ลำโพงคู่ที่ใช้งาน, โหมด DSP, ช่องแหล่งโปรแกรมที่ใช้ เป็นต้น ใต้จอจะเป็นปุ่มสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็ก 6 ปุ่ม วางแนวนอน เกี่ยวกับการเล่นวิทยุ ด้านล่างถัดลงไปเป็นปุ่มกลม 5 ปุ่ม ทำหน้าที่ A/D เลือกรับสัญญาณเข้าแบบอนาลอกหรือดิจิตอล, HT EQ เลือกลดความกระด้างเวลาดูหนังเลือก (On / Off), S-direct ต่อตรงไม่ผ่านวงจรใด ๆ (ตัดภาคTone Control และ Bass Management ออก), Display สามารถหรี่ และดับไฟหน้าปัดได้ เพิ่มมิติเสียงที่ดี (ไฟเข้ม-ไฟอ่อน-ไฟดับ) และปุ่ม Mute ตัดเสียงไม่ให้ออกลำโพง (On / Off) ล่างสุดเป็นปุ่มกดสี่เหลี่ยม 9 ปุ่ม เลือกแหล่งโปรแกรมต่าง ๆ เช่น 6.1 CH-In, TV, DVD, VCR1, DSS/VCR2, CD-R/MD, Tape, CD และ Tuner มุมขวาของจอแสดงผลจะเป็นปุ่มหมุนขนาดเดียวกับด้านซ้ายที่เลือกระบบเสียง แต่ด้านขวานี้คือ ปุ่มเร่ง-ลดระดับเสียง (ตั้งแต่ -71 ถึง +13) ด้านล่างจะเป็นโลโก้ของระบบเสียง Circle Surround II, Dolby Pro logic II และ dts-ES แผงหน้าปัดนั้น เป็นแถบสี่เหลี่ยมเรียบทั้งแผ่นเลย ไม่ได้แบ่งเป็น 2 หรือ 3 ส่วน แต่ก็ไม่ดูเทอะทะประการใด ด้านหลังไล่จากซ้ายไปขวามือ เริ่มต้นเป็นช่องเสียบเสาอากาศภาควิทยุ ด้านล่างสุดเป็นช่องรับสัญญาณดิจิตอลแบบ Optical 3 ช่อง แบ่งเป็นขาออก 1 ช่อง และขาเข้า 2 ช่อง (ช่อง 1,2) และแบบ Coaxial 3 ช่อง แบ่งเป็นขาออก 1 ช่อง และขาเข้า 2 ช่อง (ช่อง 3,4) ถือว่าเหลือเฟือเลย ใกล้ ๆ กันเป็นช่อง Remote In / Out 1 ชุด ต่อมาด้านบนเป็นช่องรับสัญญาณภาพแบบ Composite (TV, DVD, VCR1, DSS/VCR2, Monitor Out) ด้านล่างเป็นช่องรับสัญญาณเสียง (TV, DVD, VCR1, DSS/VCR2, CD-R/MD, Tape, CD) บางช่องมีจ่ายสัญญาณออกด้วย ถัดมาทางขวาจะเป็นช่องรับสัญญาณภาพเข้าแบบ S-Video จำนวน 2 ช่อง DVD, VCR1 และจ่ายออก 2 ช่อง คือ VCR1 และ Monitor Out ด้านล่างของช่องต่อ S-Video จะมีช่องรับสัญญาณเข้าแบบอาร์ซีเอ 7 อันสำหรับต่อช่อง 6.1 CH Input ถัดไปเป็นภาคปรีเอ้าท์ ทั้ง 7 แชนแนล (คู่หน้าซ้าย-ขวา, คู่หลังซ้าย-ขวา, เซ็นเตอร์, ซับวูฟเฟอร์ และเซอร์ราวเซ็นเตอร์) เพื่อเพิ่มเพาเวอร์แอมป์ภายนอกในยามที่ต้องการกำลังขับสูงกว่า ซึ่งจัดเป็นบริเวณเดียวกันถือว่าสะดวกมาก ถัดไป Inlet หรือช่องเสียบสายไฟเอซีที่สามารถถอดได้แบบ IEC แต่มี 2 ขา สามารถอัพเกรดคุณภาพเสียงด้วยสายไฟเอซีคุณภาพดีได้ทันที ไม่ต้องโมดิฟายใด ๆ ขณะที่รุ่นสูงอย่าง SR-5400 / 6400 ยังเป็นแบบติดตาย ถอดไม่ได้ด้วย ขั้วต่อลำโพงจะอยู่ด้านล่างสุดตรงกึ่งกลาง เป็นแบบบิดขัน จัดวางแบบเรียงแนวนอน (โดยส่วนตัว ผมเองชอบแบบแนวตั้งมากกว่า) รองรับเฉพาะขั้วต่อบานาน่าปลั๊กกับสายเปลือยเท่านั้น มีภาคขยายสำหรับแชนแนลที่ 6 มาพร้อมสรรพ การต่อต้องดูให้ดีก่อนครับ ด้านบนมีช่องระบายความร้อนอยู่เต็มพื้นที่ รวมทั้งด้านข้างทั้ง 2 ด้านด้วย แต่ตลอดเวลาที่ใช้ทั้งเปิดแอร์ และไม่เปิดแอร์ ผมลองเอามือไปแตะดูก็ไม่พบว่าจะร้อนมากแต่อย่างใดแค่อุ่น ๆ เท่านั้น ในคู่มือแนะนำว่าควรมีพื้นที่รอบ ๆ ด้าน ประมาณ 8 นิ้ว เป็นอย่างน้อย ขายางชุบทองด้วยเช่นกัน น๊อตยึดจุดต่าง ๆ ของตัวเครื่องเคลือบทองแดง เช่นเดียวกับฐานเครื่อง นัยว่าเพื่อลดการรบกวนได้ดีกว่า รีโมทคอนโทรลทรงยาว และแบน ขนาดกระชับมือ สีดำ ปุ่มกดขนาดกำลังดี ใช้งานง่ายมาก ไม่สับสน   โดย "การุณชาติ พุกกะเวส"   Marantz ถือได้ว่าเป็นเอ/วี รีซีฟเวอร์ที่มีความเป็นกลางสูงมาก ดูหนังดี ฟังเพลงสบาย ไม่มีความหยาบกร้าน หรือแข็งแห้งเจือปนเลยสำหรับยี่ห้อนี้ ใครที่หมายปองเครื่องที่ใช้งานได้ทั้ง 2 ด้าน ควรพิจารณาเป็นพิเศษครับ หลังจากรุ่นที่ลงท้ายด้วยเลข 200 ได้เข้ามาทำตลาดหลายปีก่อน คือ SR-4200, SR-5200, SR-6200, SR-7200 และ SR-9200 ผมได้ทดสอบไปแล้วบางรุ่น ต่อมามีการปรับเปลี่ยนในบางจุด แล้วใช้เลขลงท้ายด้วยรุ่น 300 คือ SR-4300, SR-5300, SR-6300, SR-7300 ผมเองเคยลองรุ่น SR-6300 ไปแล้ว แต่ไม่ได้ตีพิมพ์ ซึ่งประทับใจให้ผมมาก ตอกย้ำคุณภาพเสียงของยี่ห้อ Marantz ได้เป็นอย่างดี ล่าสุดปรับเปลี่ยนอีกรอบ คราวนี้ลงท้ายด้วยเลข 400 เสมือนว่าเป็นรุ่นปี 2004 ประมาณนั้น บ้านเราตอนนี้จะเป็นรุ่น SR-4400, SR-5400, SR-6400, SR-7400 แต่ละรุ่นก็จะมีหน้าตา, คุณสมบัติพิเศษอื่น ๆ ที่ต่างกันออกไปบ้าง และที่หลายท่านน่าจะถูกใจ คือ ราคาถูกลงกว่าเดิมแต่มีลูกเล่นมากกว่าเดิมอีกด้วย ส่วนจุดเด่นที่ไม่เหมือนใคร คือ SR-6400 และ SR-7400 สามารถอัพเกรดได้ด้วยช่องต่อ RS-232 ซึ่งคงต้องสอบถามตัวแทนจำหน่ายในรายละเอียดจุดนี้ สำหรับรุ่นที่ได้รับมาในครั้งนี้คือ SR-4400 น้องนุชสุดท้อง ที่กำลังขับอาจไม่สูงนัก แต่ก็เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป เหมาะกับผู้เริ่มต้น ด้วยมีค่าตัวเพียง หมื่นครึ่งเท่านั้น!! มาดูกันครับว่าเมื่อมีราคาถูกจะเหลือคุณภาพให้สัมผัสมากน้อยเพียงใด คุณสมบัติพิเศษ ให้กำลังขับแยกอิสระ Discrete 80 วัตต์ x 6 แชนแนล ถอดรหัส Dolby Digital EX, Dolby Pro-logic II และ dts-ES (Discrete, Matrix, Neo) ภาคถอดรหัส 24 Bit /96 Khz ทุกแชนแนล มีปุ่ม Source Direct เพื่อความบริสุทธิ์ของเสียง ดับไฟหน้าปัดได้ สายไฟเอซีถอดได้ IEC รองรับ 6 Channel Input-Output ครบครัน น๊อตชุบทองแดง ช่วยลดคลื่นรบกวน เน้นการใช้งานที่ง่ายไว้ก่อน ตั้งสถานีในหน่วยความจำได้ 30 สถานี หน้าตาของ Marantz SR-4400 นั้นแทบจะเหมือนรุ่นเดิมไม่ผิดเพี้ยน จะต่างกันก็ตรงหน้าที่ของปุ่มบางปุ่ม เป็นต้น ตัวเครื่องสีทองแชมเปญ แผงหน้าปัดเมื่อหันหน้าเข้าหาตัวเครื่อง มุมซ้ายบนจะเป็นป้ายชื่อยี่ห้อ Marantz พร้อมชื่อรุ่น SR-4400 ถัดลงด้านล่างเป็นปุ่มหมุนทรงกลมขนาดใหญ่ทำหน้าที่ เลือกเวียนระบบเสียงในโหมดเซอร์ราวด์ (Auto, stereo, Dolby Pro logic II (Movie / Music), Dolby Pro logic, NEO:6 (Cinema / Music), M-CH Stereo, CS II (Cinema / music / mono), Virtual, Movie, Hall, Stadium, Matrix) ล่างสุดจะเป็นปุ่มเปิด / ปิด / รอพร้อมใช้ (Stand-by) มีไฟสีแดงโชว์ด้วย เยื้องไปทางขวาเป็นรูเสียบหูฟัง (เมื่อเสียบจะไม่มีเสียงออกลำโพงอัตโนมัติ) ตรงกลางเป็นหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ทั้งใหญ่พอประมาณ ตัวอักษรในจอใช้สีขาวอ่อนเย็นตา เป็นแบบจุดไข่ปลา แต่ถ้าเป็นเครื่องหมายระบบเสียงและอื่น ๆ จะเป็นขีดเป็นข้อความไปเลย บอกผลการทำงานครบครัน ทั้งระบบเสียงที่ใช้, ลำโพงคู่ที่ใช้งาน, โหมด DSP, ช่องแหล่งโปรแกรมที่ใช้ เป็นต้น ใต้จอจะเป็นปุ่มสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็ก 6 ปุ่ม วางแนวนอน เกี่ยวกับการเล่นวิทยุ ด้านล่างถัดลงไปเป็นปุ่มกลม 5 ปุ่ม ทำหน้าที่ A/D เลือกรับสัญญาณเข้าแบบอนาลอกหรือดิจิตอล, HT EQ เลือกลดความกระด้างเวลาดูหนังเลือก (On / Off), S-direct ต่อตรงไม่ผ่านวงจรใด ๆ (ตัดภาคTone Control และ Bass Management ออก), Display สามารถหรี่ และดับไฟหน้าปัดได้ เพิ่มมิติเสียงที่ดี (ไฟเข้ม-ไฟอ่อน-ไฟดับ) และปุ่ม Mute ตัดเสียงไม่ให้ออกลำโพง (On / Off) ล่างสุดเป็นปุ่มกดสี่เหลี่ยม 9 ปุ่ม เลือกแหล่งโปรแกรมต่าง ๆ เช่น 6.1 CH-In, TV, DVD, VCR1, DSS/VCR2, CD-R/MD, Tape, CD และ Tuner มุมขวาของจอแสดงผลจะเป็นปุ่มหมุนขนาดเดียวกับด้านซ้ายที่เลือกระบบเสียง แต่ด้านขวานี้คือ ปุ่มเร่ง-ลดระดับเสียง (ตั้งแต่ -71 ถึง +13) ด้านล่างจะเป็นโลโก้ของระบบเสียง Circle Surround II, Dolby Pro logic II และ dts-ES แผงหน้าปัดนั้น เป็นแถบสี่เหลี่ยมเรียบทั้งแผ่นเลย ไม่ได้แบ่งเป็น 2 หรือ 3 ส่วน แต่ก็ไม่ดูเทอ


 


ราคา: 9,800ต้องการ: ขาย
ติดต่อ: lert  อีเมล์: 
สภาพ: มือสอง จังหวัด: กรุงเทพมหานคร
โทรศัพย์: 085-1210194
มือถือ: -



ดูสินค้าอื่นๆ | ลงประกาศ | เลื่อนประกาศขึ้น | ลบประกาศ | แก้ไขประกาศ

[ รับจำนอง ขายฝาก บ้าน ที่ดิน ทั่วประเทศ กู้เงินง่าย ได้เงินไว ไม่เช็คแบล็คลิส ]