พญาหนุมานเรียกทรัพย์ อุดผงโสฬสนวโกฎ"รุ่นแรก" หลวงพ่อชำนาญ วัดบางกุฎีทอง จ.ปทุมธานี

รายละเอียด พญาหนุมานเป็นผู้มีบุญมาก มีอิทธิฤทธิ์ รบกับใครก็ชนะเก่งกาจหาตัวจับยากไม่มีใครเทียบได้ พญาหนุมานจึงมาบังเกิดในนิมิตของหลวงพ่อ ให้สร้างเป็นองค์หนุมาน เพื่อนำอิทธิฤทธิ์มาช่วยมนุษย์ในเรื่องเงินทอง ค้าขาย ทำมาหากิน หาทรัพย์ หลวงพ่อได้บอกว่า "หนุมานเขาเก่ง มีฤทธิ์มากรบกับใครก็ชนะ เรื่องเรียกเงิน-ทอง ของกล้วยๆ ของหมูๆ เขาทำได้ดีมาก และเก่งกว่าใครๆ ถ้าเรียกเงินไม่ได้ก็ใช้ไม่ได้" มาดูผงที่อุดที่ใต้ฐานพญาหนุมานเขาเรียกว่า "ผงโสฬสนวโกฎ" หลวงพ่อนำยันต์มอญที่ให้ผลด้านเรียกเงิน-ทอง ค้าขายโภคทรัพย์ ๑๖ยันต์ เช่น ยันต์เงิน ยันต์ทองมี ยันต์แสนล้าน ยันต์เศรษฐี ยันต์จินดามณี ยันต์โภคผลเขียน เป็นต้น บริกรรมพระคาถาในกระดานชนวน โดยปลุกเสกแตละผงให้บังเกิดผลตามตำราก่อนรวมผงทั้งหมด ๑๖ยันต์ เป็นผงหลัก หลวงพ่อได้ขออธิษฐานบารมี ท่านเศรษฐีเป็นพระอริยบุคคลชั้นพระอรหันต์ ในสมัยพุทธกาล และต้องมีทองเป็นโกฎ(ทองเป็นลำเกวียน) เช่น บิณฑิกะเศรษฐีเป็นต้น รวมทั้งหมด ๙ท่าน ชักผงนวโกฎในกระดานชนวน ทำการเชิญท่านทั้ง๙ มาปลุกเสกพระเรียกผงน้ำว่า "นวโกฆ" นำผงทั้ง๒ชนิดรวมกันและปลุกเสกอีกครั้งหนึ่ง จึงนำมาอุดก้นพญาหนุมาน ผงนี้มีฤทธิ์ด้านโภคทรัพย์ โชคลาภ และค้าขาย การปลุกเสก ปลุกเสกตามตำรา หลวงพ่อใช้อาวุธ ๘ชนิด เช่น มีด ปืน หอก ดาบ เป็นฐานรองพญาหนุมาน ตั้งราชวัตรธง เชิญพญาหนุมานลงมาประทับใจองค์หนุมานเรียกทรัพย์ในแตละองค์ จากนั้นหลวงพ่อทำพิธีปลุกเสกจำเพาะเดินมนต์โองการพระพราย โองการพญาวานร โองการฤทธิ์กร และทำการปลุกเสกให้เกิดฤทธิ์เรียกเงิน เรียกทอง ตลอดระยะเวลา๓เดือน(๑ไตรมาส) ตอนพลบค่ำพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน พญาหนุมานจะลงมมาปลุกเสกเองตลอดระยะเวลา๓เดือน ช่วงนี้จะมีคนเห็นลิงบ้าง คิงคองบ้าง หนุมานบ้าง เดินรอบกุฏิหลวงพ่อเป็นประจำ เมื่อครบ๓เดือนแล้วหนุมานก็ลงมาเสกปิดเอง เป็นอันใช้ได้ นี้คือหนุมานที่องค์หนุมานลงมาเสกเองทั้งสิ้น จะมีอิทธิฤทธิ์ดังวชิราวุธ จะมีอำนาจทางเรียกเงิน-ทอง ค้าขายดีมาก การบูชา วันแรกจัดกล้วยน้ำว้า ๑หวี ธูป๑๖ดอก สวดพระคาถาเชิญองค์หนุมานให้มาช่วยในเรื่องต่างๆ วันต่อไปให้นำหนุมานติดตัวไว้เอาไว้ในที่เก็บเงิน กระป๋องสตางค์ หรือจัดไหว้บ้างตามสมควร หมั่นสวดคาถาบูชาบ่อยๆ และทำอาชีพสุจริตรับรองว่าเงินหมื่นจะกลายเป็น เงินแสนจะกลายเป็นเงินล้าน ในเร็ววัน คาถาบูชา "หะนุมาน กะระมะถะ"